ในปี 2540 ที่เกิดต้มยำกุ้งเป็นเพราะนโยบายทางการเงินที่รัฐใช้ประกอบกับทุนสำรองของไทยในสมัยนั้นมีไม่มากพอที่จะอุ้มค่าเงินทำให้ภาวะเศรษฐกิจของไทยพังตั้งแต่ระดับโครงสร้าง ซึ่งในปัจจุบันนี้ประเทศไทยจัดเป็นประเทศที่มีทุนสำรองมากเป็นลำดับที่ 12 ของโลก(กันยายน 2562) ซึ่งมีมากถึง 220,531 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยที่ประมาณ 7 ล้านล้านบาท
อย่างไรก็ตามทุนสำรองระหว่างประเทศนั้นไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าระบบเศรษฐกิจของไทยจะมีความแข็งแรงมากน้อยขนาดไหน ปัจจุบันนี้มองไปข้างนอกอาจลองไปตลาดหรือห้างสรรพสินค้าต่างถูกพิษจากเศรษฐกิจโลกประกอบกับโรคระบาดโคโรน่าที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในปัจจุบันทำให้นักท่องเที่ยวและการซื้อขายส่งออกกับหลาย ๆ ประเทศกำลังถูกแช่แข็งอย่างเลี่ยงไม่ได้
ถึงแม้ในประเทศไทยจะมีทุนสำรองมากติดอันดับ 12 ของโลกแต่ประชาชนในประเทศต่างมีกำลังซื้อลดลงอย่างเห็นได้ชัดซึ่งจากสถิติแล้วหนี้ครัวเรือนของไทยในปัจจุบันสูงถึง 80 เปอร์เซ็นต์ของ GDP และจีดีพีที่วัดได้นั้นยังเป็นการคำนวณระดับมวลรวมของประเทศอีกด้วยไม่ได้สื่อถึง GDP รายหัวของคนไทยระดับทั่วไป
โดยสรุปแล้วจะอาจจะกล่าวได้ว่าประเทศไทยมีโอกาสที่จะเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินอีกครั้งในอนาคตอันใกล้เพราะประชาชนที่อยู่ระดับล่างในห่วงโซ่ของการผลิตมีกำลังซื้อต่ำลงไปเรื่อย ๆ และพืชผลทางการเกษตรของไทยยังมีราคาตกต่ำมาก ประกอบกับการเริ่มเข้าหน้าแล้งซึ่งเรียกว่าปีนี้เป็นปีที่แล้งหนักมาก